🌟 รู้หรือไม่ ❓ กดจุดสะท้อนเท้าปรับสมดุลร่างกาย แก้อาการปวดหลังได้ 🧑‍💻 ชาวออฟฟิศซินโดรมที่นั่งนานๆ จนเกิดอาการปวดหลัง หรือผู้ที่มีอาการปวดหลังนั้น หากกำลังหาวิธีแก้ปปวด วันนี้แอดมินมีวิธีการกดจุดที่บริเวณฝ่าเท้านั้น สามารถช่วยแก้อาการปวดหลังได้ โดยบริเวณเท้านั้น ถือว่าเป็นส่วนรวมของอวัยวะสำคัญในร่างกาย ว่าแต่จะเป็นอย่างไรไปดูกันเลยค่ะ ✨ 1. ใช้นิ้วโป้งหรือนิ้วชี้กดลงบริเวณกระดูกเท้าด้านใน โดยเน้นนวดใต้แนวกระดูก หรือ บริเวณส่วนเว้าของเท้าด้านใน ✨ 2. ไล่จากปลายเท้าไปหาส้นเท้า เทียบเท่าการนวดหลัง เอว และก้นกบไปในตัว นับ 1-5 วินาที แล้วทำการนวดไล่ไปมา จนเกิดอาการรู้สึกดีขึ้น ถ้าหากเกิดอาการเจ็บตรงบริเวณที่กดจุด แสดงว่ากล้ามเนื้อบริเวณหลังของเรามีอาการตึงมาก เทียบเท่าการนวดหลัง เอว และก้นกบไปในตัว 🔎 หากสนใจกดจุดสะท้อนฝ่าเท้าพิชิตโรค กับ อ.เอ๋ ซึ่งเป็นศาสตร์ดั้งเดิมของจีน🛒 สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือสั่งซื้อสินค้าที่ : https://shorturl.at/eBFGP

💡ข้อควรรู้ก่อนไปบริจาคโลหิต🩸 ✨ การบริจาคโลหิต นอกจากจะเป็นผู้ให้ที่สามารถต่อชีวิตให้กับใครหลายๆ คนได้แล้วนั้น การเป็นผู้ให้ก็ยังได้รับประโยชน์แก่ร่างกายของตนเองอีกด้วย โดยการบริจาคเลือกทุก 3 เดือนจะช่วยให้กระตุ้นการทำงานของไขกระดูก ในการสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดง อีกทั้งระบบไหลเวียนของโลหิตยังดีอีกด้วย โดยผู้บริจาคสามารถยริจาคได้ตั้งแต่อายุ 17-70 ปี 👉 หากท่านไหนที่สนใจวันนี้แอดมินจะมาบอกวิธีการเตรียมก่อนไปบริจาคโลหิตที่ทุกท่านควรทราบมากฝากกันค่ะ ✅ 1.​ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ​ ✅ 2.​ สุขภาพแข็งแรง​ พร้อมรับบริจาคโลหิต ไม่ควรบริจาคเลือดเมื่อรู้ว่าไม่สบาย ✅ 3.​ ดื่มน้ำ​ 3​-4​ แก้ว​ ก่อนบริจาคโลหิต ช่วยให้เลือดไหลเวียนดี ลดโอกาสการเป็นลมหลังบริจาค ✅ 4.​ งดสูบบุหรี่​ ก่อนและหลังบริจาค​โลหิต​ 1​ ชั่วโมง ✅ 5.​ งดดื่มสุราหรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์​ใน 24 ชั่วโมง ✅ 6.​ ทานอาหารประจำมื้อก่อนมาบริจาค​โลหิต​ และหลีกเลี่ยงลดอาหารที่มีไขมันสูง ✅7.​ หากอยู่นะหว่างทานยารักษาโรค​ ให้แจ้งแพทย์​/พยาบาลผู้ตรวจคัดกรองสุขภาพทุกครั้ง

👉 จ่ายเบี้ยประกันไม่ไหว ทำอย่างไรได้บ้าง ❓ 📣 การวางแผนบริหารการเงินเพื่อให้จ่ายเบี้ยประกันตามงวดที่กำหนด เพื่อเป็นการรักษาผลประโยชน์ของตนเอง หากแต่มีเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น เมื่อจ่ายเบี้ยประกันไม่ไหว จะมาเสนอวิธีวางแผนทาราวเกิดผ่อนจ่ายเบี้ยประกันตามข้อตกลงเดิมไม่ไหว จะทำอย่างไรได้บ้าง 💸 1. ขอเปลี่ยนงวดการชำระเบี้ยประกัน เป็นการเปลี่ยนจากชำระเงินคราวเดียว มาเป็นแบ่งชำระทุกเดือน ทุก 3 เดือน หรือ 6 เดือน ก็อาจเป็นทางออกให้เรา แต่มีข้อเสียคือค่าเบี้ยประกันที่ต้องจ่ายเมื่อรวมทุกงวดในรอบปีเดียวกันจะสูงกว่าการชำระเบี้ยเป็นรายปี 💸 2. ชำระเบี้ยประกันในระยะเวลาผ่อนผัน มีข้อกำหนดเรื่องระยะเวลาผ่อนผันการชำระเบี้ย 31 วันนับตั้งแต่วันที่ครบกำหนดชำระเบี้ย ดังนั้น หากถึงกำหนดชำระแล้วยังมีเงินไม่เพียงพอ แต่จะสามารถหาเงินมาได้ครบจำนวนทันเวลาดังกล่าว การเลื่อนชำระตามกำหนดมาเป็นช่วงระยะเวลาผ่อนผันก็นับเป็นวิธีแก้ไขปัญหาที่ดี แต่ต้องระวังไม่ปล่อยให้พ้นระยะเวลาผ่อนผัน 💸 3. เปลี่ยนเป็น “กรมธรรม์ใช้เงินสำเร็จ” หรือเป็น “กรมธรรม์แบบขยายเวลา” ผู้เอาประกันไม่ต้องชำระเบี้ยประกันอีกต่อไป แต่ความคุ้มครองของสัญญาเพิ่มเติมที่แนบท้ายกรมธรรม์จะสิ้นสุดลง ซึ่งบริษัทจะนำค่าเวนคืนกรมธรรม์มาคำนวณเป็นเบี้ยประกันภัยชำระครั้งเดียวเพื่อซื้อกรมธรรม์ใหม่ ได้ 2 แบบที่เหมาะกับเรา คือ – ระยะเวลาเท่าเดิมแต่เงินเอาประกันลด : กรมธรรม์ใช้เงินสำเร็จ – เงินเอาประกันเท่าเดิม ระยะเวลาลด

🎊💸 เด็กจบใหม่ วางแผนการเงินอย่างไรให้ไร้หนี้ ❓🧑‍🎓 เด็กจบใหม่ ประสบการณ์ในการวางแผนการเงินอาจจะยังน้อยอยู่ ทำให้บางคนที่ถูกหลอกล่อโดยโปรโมชั่นของบัตรเครดิต รูดเพลิน กดเงินสดออกมาใช้ ทำให้ตกหลุมพลางของการเป็นหนี้ตั้งแต่แรกๆ โดยไม่มีวิธีการจัดการการเงิน หรือวิธีการวางแผนที่ทำให้มีเงินออมมากขึ้น 💡 วันนี้แอดมินขอแนะนำ วิธีการวางแผนการเงินของเด็กจบใหม่ ว่าทำอย่างไรจึงจะไร้หนี้มาฝากทุกท่านกันค่ะ✨ 1. บัตรเครดิต ห้ามรูดเพลิน จะเกิดหนี้ในปัจจุบันโปรโมชั่นของบัตรเครดิต มีการแข่งขันในตลาดเยอะมาก หากรูดเพลินไม่ได้ดูเงินในกระเป๋าของท่าน แล้วจ่ายยอดขั้นต่ำในทุกๆ เดือน อาจทำให้ท่านเป็นหนี้บัตรเครดิตโดยที่ไม่รู้ตัวค่ะ ✨ 2. ทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย วางแผนเก็บเงิน สำรองฉุกเฉินการทำรายรับ รายจ่าย จะทำให้เราทราบถึงเงินที่ใช้เฉลี่ยในแต่ละวัน เพื่อออม ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ สำหรับเด็กจบใหม่ เพราะการมีเงินสำรองฉุกเฉินจะช่วยให้เราสามารถใช้ชีวิตแต่ละวันได้ ในระหว่างที่เกิดเหตุไม่คาดฝัน ✨ 3. หักห้ามใจ ไม่ฟุ่มเฟื่อย จนก่อให้เกิดหนี้ที่ไม่จำเป็นถ้าเป็นสิ่งที่จำเป็นจริงๆ ก็ไม่ควรเป็นหนี้เกิน 40% ของรายได้ เพราะจะทำให้เกิดความไม่คล่องตัวในการใช้จ่าย ✨ 4. ไม่วางแผนอนาคตเพราะอนาคตหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน สามารถนำเงินเก็บสำรองมาใช้ได้ ควรศึกษาการลงทุนไว้แนะนำ “กองทุนรวม” และวางแผน “ลงทุนระยะยาว”

💵✏️ “มรดก” คือเรื่องของทุกคน เริ่มต้นวางแผนมรดกอย่างไรดี ❓🔎 หลายคนมักเข้าใจผิดว่า การวางแผนมรดกต้องรวยเท่านั้น ถึงจะสามารถวางแผนได้เท่านั้น แต่การวางแผนมรดกนั้นเป็นเรื่องที่มีความสําคัญสําหรับทุกคน เพื่อให้ทรัพย์สินของเราถูกส่งต่อไปยังบุคคลที่ต้องการให้อย่างถูกต้องและครบถ้วน โดยคุณสามารถเริ่มต้นวางแผนมรดกได้ดังนี้ 📃 1. หมั่นทำบัญชีรายการทรัพย์สินและหนี้สินอยู่เสมอเพื่อให้ทราบสถานะทางการเงินของตนเองว่ามีทรัพย์สิน หรือหนี้จำนวนเท่าไหร่ โดยควรนำเงินจำนวนส่วนหนึ่งมาวางแผนเกษียณของตนเองด้วย 🔴 หากเจ้ามรดกยังมีชีวิตอยู่ โดยการวางแผนเสร็จก็ทำการส่งมอบ พิจารณาจากภาษีการให้และภาษีมรดกประกอบด้วย ได้แก่ อสังหาริมทรัพย์ ยานพาหนะ หลักทรัพย์ตามกฎหมาย เงินฝาก และทรัพย์สินทางการเงินที่มีมูลค่าเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด🔴 กรณีที่เจ้ามรดกเสียชีวิต ก็คือการทำพินัยกรรม เป็นรูปแบบการวางแผนมรดกโ ดยจัดการทรัพย์สินเหล่านี้ในรูปของพินัยกรรม เพื่อระบุอย่างชัดเจนว่าต้องการส่งมอบทรัพย์สินอะไรให้แก่ใครบ้าง 📃 2. ศึกษากฎหมายภาษีมรดกและภาษีจากการให้🔴 ภาษีมรดก เมื่อมีการเสียชีวิตของเจ้าของมรดกและส่งต่อทรัพย์สินไปตามพินัยกรรม จะต้องเสียภาษีมรดกจะมีกำหนดไว้ตามกฎหมาย🔴 ภาษีการให้ เกิดขึ้นเมื่อของเจ้าของมรดกได้มอบทรัพย์สินในขณะที่มีชีวิตอยู่ให้กับทายาท แบ่งเป็นประเภทสังหาริมทรัพย์และอสังหาริมทรัพย์ โดยส่วนเกินของมูลค่าที่กฎหมายกำหนด จะต้องนำมาคำนวณภาษี 📃 3. วางแผนการมอบมรดกควรทยอยมอบทรัพย์สินในแต่ละปีเป็นจำนวนเงินที่เหมาะสม ซึ่งจะไม่ทำให้เสียภาษีมากจนเกินไป 📃 4. ส่งต่อมรดกเป็นทรัพย์สินที่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีการทำประกันชีวิต ถือได้ว่าเป็นอีกรูปแบบหนึ่งในการวางแผนมรดก ได้รับยกเว้นภาษี เพราะเงินประกันไม่ถูกรวมเข้ากับกองมรดก

🔎 ทำไมประกันโรคร้ายแรง จึงสำคัญ ❓❗💰 1. แบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในส่วนของค่ารักษาโรคร้ายแรงมีค่ารักษา ค่าใช้จ่ายที่สูง การมีประกันโรคร้ายแรงเพิ่มเติมเข้ามาก็จะสามารถช่วยแบ่งภาระได้ทั้งเรื่องค่ารักษาและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในช่วยการพักรักษาตัว 🩺 2. โรคร้ายแรง มีโอกาสเกิดซ้ำได้ผู้ป่วย อาจมีโอกาสในการเกิดโรคร้ายแรงซ้ำอีกได้ ดังนั้นการซื้อประกันโรคร้ายแรว ควรเลือกแบบ เจอ จ่าย หลายจบ เพื่อรองรับการเป็นโรคร้ายแรงซ้ำในอนาคต 💸 3. ค่ารักษาบานปลาย หากใช้เวลารักษานานโรคร้ายแรงนั้น มีการรักษาที่ใช้ระยะเวลาที่นานอยู่พอสมควร ค่ารักษาก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นค่าห้อง ค่ายา ค่ารักษา ค่าอุปกรณ์ในการรักษา ฉะนั้นการเลือกประกันโรครุนแรง จะช่วยในเรื่องของการรักษา รวมถึงภาระค่าใช้จ่ายในบ้านช่วงขาดรายได้ 📋 4. ลดหย่อนภาษีได้สามารถใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 25,000 บาทต่อปี และหากซื้อประกันนี้ให้คุณพ่อคุณแม่ ก็ลดหย่อนเพิ่มได้อีกสูงสุด 15,000ต่อปี 💵 5. การรักษาโรคร้ายแรง อาจทำให้หมดตัวหากคุณเป็นเสาหลักของบ้าน อาจทำให้หมดตัวได้ เพราะโรคร้ายแรงมีค่าใช้จ่ายที่สูง หากไม่ซื้อเอาไว้ อาจเกิดปัญหาทางการเงินของคุณได้ 🎊 การวางแผนบริหารความเสี่ยงด้วยการทำประกันสุขภาพ ค่าชดเชยโรคร้ายแรง และค่าชดเชยรายวัน เป็นทางเลือก

💰เรื่องการเงิน ที่คนส่วนใหญ่มักเข้าใจผิด❌ “รู้ไว้ให้ชีวิตดี”✨ ❎ ออมเงินทั้งทีควรออมเงินที่ตอบผลตอบแทนสูงๆ💡✅ บอกได้เลยว่าเป็นความเชื่อที่ผิด เพราะการออมเงินควรเลือกเป้าหมายในการออม และระยะเวลาการออม-การออมระยะสั้น เช่น การฝากเงินธนาคร หรือกองทุนรวมตราสารหนี้ เพราะความเสี่ยงต่ำ และสภาพการเงินสูง– การออมระยะยาว เช่น หุ้น กองทุนรวม เพราะมีความเสี่ยงสูง แต่ได้ผลตอบแทนที่สูงกว่า การออมเงินชนิดอื่น ❎ การวางแผนการเงินตอนเกษียณ เป็นเรื่องของคนแก่💡✅ การวางแผนการเงิน ควรเริ่มวางแผนตั้งแต่เนิ่นๆ ตั้งแต่ช่วงที่เริ่มทำงาน เพื่อให้การวางแผนมีเงินเก็บเพียงพอ สำหรับค่าใช้จ่ายในช่วงเกษียณอายุ โดยอาจเป็นการเก็บเงินในการออมรูปแบบประกันสะสมทรัพย์ หรือประกันบำนาญ เป็นต้น ❎ ซื้อประกันสุขภาพ เป็นการจ่ายเบี้ยทิ้ง💡✅ หากเราป่วย หรือเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน อาจทำให้ต้องนำเงินเก็บในอนาคตออกมาจ่าย เพื่อรักษาตนเอง ซึ่งอาจไม่คุ้มค่ากับเงินที่เสียไป ฉะนั้นการซื้อประกันสุขภาพ เป็นการซื้อความคุ้มครองสุขภาพ หากเกิดค่าใช้จ่ายในการรักษาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต หากต้องการปรึกษาเรื่องการเงิน หรืองานด้านประกันภัยต่างๆ รวมถึงการเคลมสินไหม สามารถติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่✅ Line : @amnardwealth https://lin.ee/bul4xFe📞 โทร : 02-002-1911, 081-357-5882, 062-737-546🛒